รู้จักกับ วิทยาศาสตร์ปฐมวัย ช่วยให้เด็กฝึกทักษะทางด้านใดบ้าง

วิทยาศาสตร์ปฐมวัย

การเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ปฐมวัย เป็นการทำให้เด็กเรียนรู้ธรรมชาติและสิ่งรอบตัว เช่น เรียนรู้สี  รูปร่าง  โดยรู้มีการเรียนรู้ทีละอย่างค่อยเป็นค่อยไป เริ่มจากทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์  ได้แก่  การสังเกต  การค้นคว้าหาคำตอบ  การให้เหตุผล  ตามด้วยการเรียนทักษะกระบวนการวิทยาศาสตร์เพื่อนำไปสู่การปฏิบัติต่อไป ทั้งนี้การสอนวิทยาศาสตร์สำหรับเด็กมีลักษณะอย่างไร บทความนี้มีคำแนะนำมาฝาก

วิทยาศาสตร์ปฐมวัย คืออะไร

วิทยาศาสตร์ปฐมวัย เป็นการเรียนรู้สิ่งแวดล้อมและธรรมชาติรอบตัวเด็ก เน้นให้เด็กมีความสนุกกับการเรียน  รู้จักสร้างสรรค์และคิดสร้างสรรค์ โดยเน้นการสังเกตโลกรอบตัว การรับรู้ทางประสาทสัมผัสและการเรียนรู้ รู้ทรงและสิ่งที่เกี่ยวข้อง และการจัดหมู่และการจำแนกประเภท ซึ่งการเรียนรู้ดังกล่าวจะฝึกให้เด็กสามารถใช้ทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์  ได้แก่  ทักษะการสังเกต  การจำแนกประเภท  การสื่อความหมายและทักษะการกระบวนการวิทยาศาสตร์เพื่อเป็นการเชื่อมโยงข้อมูลเพื่อหาคำตอบนั่นเอง

กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ มีอะไรบ้าง

การเรียนรู้วิทยาศาสตร์ปฐมวัยนั้น เป็นการเรียนรู้เพื่อแก้ไขปัญหาอย่างมีเหตุและผล หรือเรียกว่ากระบวนการทางวิทยาศาสตร์ โดยเริ่มจากขั้นตอนดังนี้

  1. ขั้นที่  1  กำหนดขอบเขตของปัญหา  ครูกับเด็กร่วมกันตั้งประเด็นปัญหาสิ่งที่ต้องการเรียนรู้ร่วมกัน  
  2. ขั้นที่  2  ตั้งสมมุติฐาน  วางแผนร่วมกันเพื่อทดลองหาคำตอบจากการคาดเดาล่วงหน้าว่า  ถ้า…….จะเกิด……เป็นต้น
  3. ขั้นที่  3  ทดลองและเก็บข้อมูล  ครูกับเด็กร่วมกันทดลองตามสมมุติฐานที่ตั้งไว้ในข้อ  2
  4. ขั้นที่  4  วิเคราะห์ข้อมูล  ครูและเด็กนำผลการทดลองมาสนทนา อภิปรายแลกเปลี่ยนความคิดเห็นร่วมกัน
  5. ขั้นที่  5  สรุปผลคำตอบสมมุติฐาน  ว่าผลที่เกิดคืออะไร  เพราะอะไร

โดยกระบวนการวิทยาศาสตร์นี้ต้องอาศัยทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์  โดยจำแนกออกเป็นข้อได้ดังนี้

5 ทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ 

เด็ก ๆ จะได้รับการฝึกทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ไปในตัว โดยทักษะที่ต้องใช้นั้น ประกอบไปด้วย การสังเกต  การจำแนกและเปรียบเทียบ การวัด การสื่อสาร การทดลอง การสรุปและการนำไปใช้ อธิบายรายละเอียดเพิ่มเติมได้ดังนี้

การสังเกต

ครูต้องสอนให้เด็กรู้จักสังเกตใช้เทคนิคการสังเกตเป็น ทั้งตาดู หูฟัง จมูกดมกลิ่น ลิ้นชิมรส กายสัมผัสหรือรับความรู้สึก หรือใช้ทุกอย่างร่วมกัน ภายใต้ความระมัดระวังและความปลอดภัย

การจำแนกเปรียบเทียบ

การจำแนกเป็นทักษะพื้นฐานที่ใช้ในการจัดระเบียบข้อมูล  เด็กต้องสามารถเปรียบเทียบและบอกข้อแตกต่างของคุณสมบัติหยาบของสิ่งของได้ ถ้าเด็กเล็กมาก จะมีการจำแนกสีหรือจำแนกรูปร่างได้   

การวัด

การวัดเป็นกระบวนการรวบรวมข้อมูลและตัดสิน เพื่อบอกขนาด ปริมาณของสิ่งที่เห็นคือสิ่งใด เป็นการเปรียบเทียบเชิงปริมาณ โดยสามารถใช้เครื่องมือวัดอย่างหยาบ และบอกปริมาณมากน้อยได้

การสื่อสาร

ถือเป็นทักษะการสื่อสารจำเป็นมาก เพราะการสื่อสารจะทำให้ครูรู้ว่าเด็กสามารถใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ได้หรือไม่ มีความเข้าใจมากน้อยแค่ไหน โดยมีการแลกเปลี่ยนความรู้ร่วมกัน

การทดลอง

การทดลองทางวิทยาศาสตร์จะถูกจัดระเบียบและควบคุมให้เด็กทำอย่างมีระเบียบวิธี  มีการสังเกตอย่างมีความหมาย เช่น  การทดลองการกระจายของหยดสีในน้ำที่มีความเข้มข้นไม่เท่ากัน เด็กจะสังเกตเห็นสีสด  สีจาง  ต่างกัน

การสรุปและการนำไปใช้

เด็กจะสามารถบอกว่าอะไรเกิดขึ้น เกิดจากสาเหตุใด และมีผลการทดลองอย่างไร ตามสายตาที่เด็กเห็น และฝึกทักษะอย่างเป็นกระบวนการ จะทำให้เด็กสามารถบอกได้ว่าจะนำผลการทดลองนี้ไปใช้เพื่ออะไร และสามารถนำไปแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ได้อย่างไรด้วย

ประโยชน์ของการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ปฐมวัย

เด็กควรได้รับการพัฒนาปัญญา จากการใช้ทักษะทางวิทยาศาสตร์ทั้ง 5 รวมไปถึงกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เพื่อช่วยให้เกิดความรู้  ความเข้าใจ  สามารถแก้ปัญหาได้  และสามารถปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมได้  ช่วยพัฒนาศักยภาพทางปัญญา การขยายความรู้ วิเคราะห์ สังเคราะห์ เพื่อพัฒนาการเข้าใจในการเรียนรู้ที่สูงมากขึ้น รวมไปถึงทำให้เด็กสามารถฝึกทักษะทางการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ทั้ง การสังเกต การคิด แก้ไขปัญหา และสามารถสรุปความรู้ เพื่อนำไปใช้ในการแก้ไขปัญหา หรือหาคำตอบต่อไป

วิทยาศาสตร์ปฐมวัย ช่วยให้เด็กได้เรียนรู้วิทยาศาสตร์ธรรมชาติและสิ่งรอบตัวได้อย่างเชื่อมโยงกันและมีระบบระเบียบมากขึ้น และเด็กยังสามารถใช้ทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์และทักษะกระบวนการวิทยาศาสตร์เพื่อเป็นการเชื่อมโยงข้อมูลเพื่อหาคำตอบได้ด้วยตัวเอง และเป็นการพัฒนาศักยภาพทางปัญญาและพุทธิปัญญาได้ดีอีกด้วย